"พระสีวลี มีสัณฐานดังเมล็ดในพุทราอย่างหนึ่ง
ผลยอป่าอย่างหนึ่ง เมล็ดมะละกออย่างหนึ่ง
วรรณเขียวดังดอกผักตบบ้าง
แดงดังสีหม้อใหม่บ้าง
สีพิกุลแห้งบ้าง เหลืองดังหวายตะค้าบ้าง แลขาวดังสีสังข์บ้าง"
สีพิกุลแห้งบ้าง เหลืองดังหวายตะค้าบ้าง แลขาวดังสีสังข์บ้าง"
ประวัติ พระสีวลีเถระ
เอตทัคคะในทางผู้มีลาภมาก
พระสีวลี
เป็นโอรสของพระนางสุปปวาสา ราชธิดา
แห่งโกลิยนคร
ตั้งแต่ท่านจุติลงถือปฏิสนธิในครรภ์ของ
พระมารดา
ได้ทำให้ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่พระมารดา
เป็นอันมาก
ท่านอาศัยอยู่ในครรภ์ของพระมารดา นานถึง
๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ครั้นเมื่อใกล้เวลาจะประสูติ
พระมารดา
ได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า
พระนางจึงขอให้พระสวามีไป
กราบบังคมทูลขอพร
จากพระบรมศาสดาและพระพุทธองค์
ตรัสประทานพรแก่พระนางว่า:-
“ขอพระนางสุปปวาสา พระราชธิดาแห่งพระเจ้ากรุงโกลิยะ
“ขอพระนางสุปปวาสา พระราชธิดาแห่งพระเจ้ากรุงโกลิยะ
จงเป็นหญิงมีความสุข
ปราศจากโรคาพยาธิ ประสูติ
พระราชโอรสผู้หาโรคมิได้เถิด”
ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธานุภาพ ทุกขเวทนาของพระนาง
ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธานุภาพ ทุกขเวทนาของพระนาง
ก็อันตรธานไป
พระนางประสูติพระราชโอรสอย่างง่ายดาย
ดุจน้ำไหลออกจากหม้อ
พระประยูรญาติทั้งหลายได้ขนาน
พระนามพระราชโอรสของพระนางสุปปวาสาว่า “สีวลีกุมาร”
เมื่อพระนางมีพระวรกายแข็งแรงดีแล้ว
มีพระประสงค์ที่จะ
ถวายมหาทานติดต่อกันเป็นเวลา
๗ วัน จึงจึงความประสงค์
แก่พระสวามีให้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วย
ภิกษุ
สงฆ์ มารับมหาทานอาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวสน์
ตลอด
๗ วัน ในวันถวายมหาทานนั้น สีวลีกุมาร มีพระวรกาย
เข้มแข็งดุจกุมารผู้มีพระชนม์
๗ พรรษา ได้ช่วยพระบิดาและ
พระมารดาจัดแจงกิจต่าง
ๆ มีการนำธมกรก (ธะมะกะหรก
=
กระบอกกรองน้ำ)
มากรองน้ำดื่มและอังคาสพระบรมศาสดา
และหมู่พระภิกษุสงฆ์
ในขณะที่สีวลีกุมาร ช่วยพระบิดาและ
พระมารดาอยู่นั้น
ท่านพระสารีบุตรเถระได้สังเกตดูอยู่ตลอดเวลา
และเกิดความรู้สึกพอใจในพระราชกุมารน้อยเป็นอย่างมาก
ครั้นถึงวันที่
๗ ซึ่งเป็นวันสุดท้าย พระเถระได้สนทนากับสีวลี
กุมารแล้วชักชวนให้มาบวช
สีวลีกุมาร ผู้มีจิตน้อมไปในการบวช
อยู่แล้ว
เมื่อพระเถระชักชวน จึงกราบทูลขออนุญาตจาก
พระบิดาและพระมารดา
เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงติดตาม
พระเถระไปยังพระอารามพระสารีบุตรเถระ
ผู้รับภาระ
เป็นพระอุปัชฌาย์
ได้สอนพระกรรมฐานเบื้องต้น คือ
ตจปัญจกกรรมฐานทั้ง
๕ ได้แก่ เกสา(ผม) โลมา(ขน)
นขา(เล็บ)
ทันตา(ฟัน) ตโจ (หนัง) ให้พิจารณาของทั้ง ๕
เหล่านี้ว่าเป็นของไม่งานเป็นของสกปรก
ไม่ควรเข้าไป
ยึดติดหลงใหลในสิ่งเหล่านี้
สีวลีกุมาร ได้สดับพระกรรมฐาน
นั้นแล้วนำไปพิจารณาในขณะที่กำลังจรดมีดโกนเพื่อโกนผม
ครั้งแรกนั้นท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน
จรดมีดโกนลง
ครั้งที่
๒ ท่านได้บรรลุเป็นพระสกทาคามี จรดมีดโกนลง
ครั้งที่
๓ ท่านได้บรรลุเป็นพระอนาคามี และเมื่อโกน
ผมเสร็จ
ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
เมื่อท่านอุปสมบทแล้วปรากฏว่าท่านเป็นพุทธสาวก
เมื่อท่านอุปสมบทแล้วปรากฏว่าท่านเป็นพุทธสาวก
ที่มีลาภสักการะมากมาย
ด้วยอำนาจบุญบารมีของท่านที่
สั่งสมมา
ลาภสักการะเหล่านี้ได้เผื่อแผ่ไปยังพระสงฆ์สาวก
ท่านอื่น
ๆ ด้วย แม้พระบรมศาสดาเมื่อทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์
เสด็จทางไกลกันดาร
ถ้ามี พระสีวลี ร่วมเดินทางไปด้วย
ความขาดแคลนอาหารและที่พักอาศัยในระหว่างทางก็
จะไม่เกิดขึ้นแก่หมู่ภิกษุ
สงฆ์เลย เช่น....
พระพุทธองค์และหมู่ภิกษุอาศัยบุญพระสีวลี
สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์
พระพุทธองค์และหมู่ภิกษุอาศัยบุญพระสีวลี
สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์
จำนวน
๕๐๐ รูปไปเยี่ยมพระเรวตะผู้เป็นน้องชายของ
พระสารีบุตรเถระ
ซึ่งจำพรรษาอยู่ ณ ป่าไม้ตะเคียน
เมื่อเสด็จมาถึงทาง
๒ แพร่ง พระอานนท์เถระได้กราบ
ทูลสภาพหนทางว่า.....
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเสด็จไปทางอ้อม ระยะทางไกล
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเสด็จไปทางอ้อม ระยะทางไกล
๖๐ โยชน์ มีประชาชนอยู่อาศัยมาก
พระภิกษุไม่ลบากด้วย
ภิกขาจาร
แต่ถ้าเสด็จไปทางลัดระยะทางประมาณ ๓๐ โยชน์
ไม่มีประชาชนอยู่อาศัย มีสภาพเป็นป่าใหญ่ มีแต่อมนุษย์
ไม่มีประชาชนอยู่อาศัย มีสภาพเป็นป่าใหญ่ มีแต่อมนุษย์
อยู่อาศัย
พระภิกษุสงฆ์จะลำบากด้วยภิกขาจาร”
พระพุทธองค์ ตรัสถามว่า:-
“ดูก่อนอานนท์ พระสีวลีมากับเราด้วยหรือไม่?”
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเสวลีมากับเราด้วย พระเจ้าข้า”
พระพุทธองค์ ตรัสว่า:-
“ดูก่อนอานนท์ ถ้าอย่างนั้นก็จงไปทางลัด ไม่ต้องห่วง
พระพุทธองค์ ตรัสถามว่า:-
“ดูก่อนอานนท์ พระสีวลีมากับเราด้วยหรือไม่?”
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเสวลีมากับเราด้วย พระเจ้าข้า”
พระพุทธองค์ ตรัสว่า:-
“ดูก่อนอานนท์ ถ้าอย่างนั้นก็จงไปทางลัด ไม่ต้องห่วง
ไม่ต้องกังวลด้วยอาหารบิณฑบาต เพราะเทวดาทั้งหลาย
ที่สิงสถิตอยู่ในป่าระหว่างทาง
จะจัดสถานที่พักและอาหาร
บิณฑบาตไว้ถวายพระสีวลีผู้เป็นที่เคารพนับถือของพวกตน
บิณฑบาตไว้ถวายพระสีวลีผู้เป็นที่เคารพนับถือของพวกตน
เราทั้งหลายก็จะได้อาศัยบุญของพระสีวลี
นั้นด้วย”
ได้รับยกย่องในทางผู้มีลาภมาก
ด้วยอำนาจบุญที่ท่านพระสีวลี ได้บำเพ็ญสั่งสมอบรมมา
ตั้งแต่อดีตชาติ
เป็นปัจจัยส่งผลให้ท่านเจริญด้วยลาภสักการะ
โดยมีเทพยาดา
นาค ครุฑ และมนุษย์ทั้งหลาย นำมาถวาย
โดยมิขาดตกบกพร่อง
ไม่ว่าท่านจะอยู่ในที่ใด ๆ ในป่า
ในบ้าน
ในน้ำ หรือบนบก เป็นต้นด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์
จึงทรงประกาศให้ปรากฏในหมู่พุทธบริษัทตรัสยกย่องท่าน
ในตำแหน่ง
เอคทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง
ผู้มีลาภมาก
นับว่าท่านพระสีวลีเถระเป็นพระมหาสาวกอีก
รูปหนึ่งที่ได้ช่วยกิจการ
พระศาสนา แบ่งเบาภาระของ
พระบรมศาสดาเป็นอย่างมาก
ท่านดำรงอายุสังขารโดย
สมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน