ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมกันสร้างลานเจดีย์และองค์พญานาคทางเข้าพระเจดียศรีทศพลบรมไตรโลกนาถ ณ วัดน้ำเขียว (บุญช่วยสามัคคีธรรม) ต.กองทูล อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ เพื่อถวายเป็นไตรรัตนบูชา

พระธาตุพระสีวลี



"พระสีวลี มีสัณฐานดังเมล็ดในพุทราอย่างหนึ่ง
ผลยอป่าอย่างหนึ่ง เมล็ดมะละกออย่างหนึ่ง
วรรณเขียวดังดอกผักตบบ้าง แดงดังสีหม้อใหม่บ้าง
สีพิกุลแห้งบ้าง เหลืองดังหวายตะค้าบ้าง แลขาวดังสีสังข์บ้าง"

ประวัติ พระสีวลีเถระ เอตทัคคะในทางผู้มีลาภมาก
พระสีวลี เป็นโอรสของพระนางสุปปวาสา ราชธิดา
แห่งโกลิยนคร ตั้งแต่ท่านจุติลงถือปฏิสนธิในครรภ์ของ
พระมารดา ได้ทำให้ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่พระมารดา
เป็นอันมาก ท่านอาศัยอยู่ในครรภ์ของพระมารดา นานถึง
 ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ครั้นเมื่อใกล้เวลาจะประสูติ พระมารดา
ได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า พระนางจึงขอให้พระสวามีไป
กราบบังคมทูลขอพร จากพระบรมศาสดาและพระพุทธองค์
ตรัสประทานพรแก่พระนางว่า:-

ขอพระนางสุปปวาสา พระราชธิดาแห่งพระเจ้ากรุงโกลิยะ
จงเป็นหญิงมีความสุข ปราศจากโรคาพยาธิ ประสูติ
พระราชโอรสผู้หาโรคมิได้เถิด

ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธานุภาพ ทุกขเวทนาของพระนาง
ก็อันตรธานไป พระนางประสูติพระราชโอรสอย่างง่ายดาย
ดุจน้ำไหลออกจากหม้อ พระประยูรญาติทั้งหลายได้ขนาน
พระนามพระราชโอรสของพระนางสุปปวาสาว่าสีวลีกุมาร
เมื่อพระนางมีพระวรกายแข็งแรงดีแล้ว มีพระประสงค์ที่จะ
ถวายมหาทานติดต่อกันเป็นเวลา ๗ วัน จึงจึงความประสงค์
แก่พระสวามีให้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วย
ภิกษุ สงฆ์ มารับมหาทานอาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวสน์
ตลอด ๗ วัน ในวันถวายมหาทานนั้น สีวลีกุมาร มีพระวรกาย
เข้มแข็งดุจกุมารผู้มีพระชนม์ ๗ พรรษา ได้ช่วยพระบิดาและ
พระมารดาจัดแจงกิจต่าง ๆ มีการนำธมกรก (ธะมะกะหรก =
กระบอกกรองน้ำ) มากรองน้ำดื่มและอังคาสพระบรมศาสดา
และหมู่พระภิกษุสงฆ์ ในขณะที่สีวลีกุมาร ช่วยพระบิดาและ
พระมารดาอยู่นั้น ท่านพระสารีบุตรเถระได้สังเกตดูอยู่ตลอดเวลา
 และเกิดความรู้สึกพอใจในพระราชกุมารน้อยเป็นอย่างมาก
ครั้นถึงวันที่ ๗ ซึ่งเป็นวันสุดท้าย พระเถระได้สนทนากับสีวลี
กุมารแล้วชักชวนให้มาบวช สีวลีกุมาร ผู้มีจิตน้อมไปในการบวช
อยู่แล้ว เมื่อพระเถระชักชวน จึงกราบทูลขออนุญาตจาก
พระบิดาและพระมารดา เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงติดตาม
พระเถระไปยังพระอารามพระสารีบุตรเถระ ผู้รับภาระ
เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้สอนพระกรรมฐานเบื้องต้น คือ
ตจปัญจกกรรมฐานทั้ง ๕ ได้แก่ เกสา(ผม) โลมา(ขน)
นขา(เล็บ) ทันตา(ฟัน) ตโจ (หนัง) ให้พิจารณาของทั้ง ๕
เหล่านี้ว่าเป็นของไม่งานเป็นของสกปรก ไม่ควรเข้าไป
ยึดติดหลงใหลในสิ่งเหล่านี้ สีวลีกุมาร ได้สดับพระกรรมฐาน
นั้นแล้วนำไปพิจารณาในขณะที่กำลังจรดมีดโกนเพื่อโกนผม
ครั้งแรกนั้นท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน จรดมีดโกนลง
ครั้งที่ ๒ ท่านได้บรรลุเป็นพระสกทาคามี จรดมีดโกนลง
ครั้งที่ ๓ ท่านได้บรรลุเป็นพระอนาคามี และเมื่อโกน
ผมเสร็จ ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

เมื่อท่านอุปสมบทแล้วปรากฏว่าท่านเป็นพุทธสาวก
ที่มีลาภสักการะมากมาย ด้วยอำนาจบุญบารมีของท่านที่
สั่งสมมา ลาภสักการะเหล่านี้ได้เผื่อแผ่ไปยังพระสงฆ์สาวก
ท่านอื่น ๆ ด้วย แม้พระบรมศาสดาเมื่อทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์
เสด็จทางไกลกันดาร ถ้ามี พระสีวลี ร่วมเดินทางไปด้วย
ความขาดแคลนอาหารและที่พักอาศัยในระหว่างทางก็
จะไม่เกิดขึ้นแก่หมู่ภิกษุ สงฆ์เลย เช่น....

พระพุทธองค์และหมู่ภิกษุอาศัยบุญพระสีวลี

สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์
จำนวน ๕๐๐ รูปไปเยี่ยมพระเรวตะผู้เป็นน้องชายของ
พระสารีบุตรเถระ ซึ่งจำพรรษาอยู่ ณ ป่าไม้ตะเคียน
เมื่อเสด็จมาถึงทาง ๒ แพร่ง พระอานนท์เถระได้กราบ
ทูลสภาพหนทางว่า.....

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเสด็จไปทางอ้อม ระยะทางไกล
 ๖๐ โยชน์ มีประชาชนอยู่อาศัยมาก พระภิกษุไม่ลบากด้วย
ภิกขาจาร แต่ถ้าเสด็จไปทางลัดระยะทางประมาณ ๓๐ โยชน์
ไม่มีประชาชนอยู่อาศัย มีสภาพเป็นป่าใหญ่ มีแต่อมนุษย์
อยู่อาศัย พระภิกษุสงฆ์จะลำบากด้วยภิกขาจาร

พระพุทธองค์ ตรัสถามว่า:-

ดูก่อนอานนท์ พระสีวลีมากับเราด้วยหรือไม่?”
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเสวลีมากับเราด้วย พระเจ้าข้า

พระพุทธองค์ ตรัสว่า:-

ดูก่อนอานนท์ ถ้าอย่างนั้นก็จงไปทางลัด ไม่ต้องห่วง
 ไม่ต้องกังวลด้วยอาหารบิณฑบาต เพราะเทวดาทั้งหลาย
ที่สิงสถิตอยู่ในป่าระหว่างทาง จะจัดสถานที่พักและอาหาร
บิณฑบาตไว้ถวายพระสีวลีผู้เป็นที่เคารพนับถือของพวกตน
เราทั้งหลายก็จะได้อาศัยบุญของพระสีวลี นั้นด้วย

ได้รับยกย่องในทางผู้มีลาภมาก

ด้วยอำนาจบุญที่ท่านพระสีวลี ได้บำเพ็ญสั่งสมอบรมมา
ตั้งแต่อดีตชาติ เป็นปัจจัยส่งผลให้ท่านเจริญด้วยลาภสักการะ
โดยมีเทพยาดา นาค ครุฑ และมนุษย์ทั้งหลาย นำมาถวาย
โดยมิขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าท่านจะอยู่ในที่ใด ๆ ในป่า
ในบ้าน ในน้ำ หรือบนบก เป็นต้นด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์
จึงทรงประกาศให้ปรากฏในหมู่พุทธบริษัทตรัสยกย่องท่าน
ในตำแหน่ง เอคทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง
ผู้มีลาภมาก นับว่าท่านพระสีวลีเถระเป็นพระมหาสาวกอีก
รูปหนึ่งที่ได้ช่วยกิจการ พระศาสนา แบ่งเบาภาระของ
พระบรมศาสดาเป็นอย่างมาก ท่านดำรงอายุสังขารโดย
สมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน