เรื่อง
การผจญเจ้ากรรมนายเวรนั้นเกิดขึ้นเมื่อตอนที่
ผมได้มีโอกาส
ในการไปอัญเชิญพระธาตุครั้งแรก ณ จังหวัดกาญจนบุรี
นี้เองทำให้ผม
ได้มีโอกาสได้พบกับเจ้ากรรมนายเวรที่รอคอยกันเป็นเวลานาน
ใน
เย็นหนึ่งของวันแรกของการอัญเชิญพระธาตุอาจารย์กฤษณะ
ได้พาผมและเหล่าสมาชิกออกตะลุยอัญเชิญตามถ้ำต่าง ๆ
จนมาถึงถ้ำแห่งหนึ่ง ณ
เวลาที่เรามาถึงเป็นเวลาใกล้จะพบค่ำแล้ว
ทางผมและเพื่อนร่วมคณะก็ออกค้นหาปากทางเข้าถ้ำกันแต่ก็ใช้เวลา
หาอยู่นานพอ
สมควรกว่าจะเจอปากทางเข้าถ้ำในใจก็คิดรู้สึกแปลก ๆ
ยังไงไม่รู้แต่เมื่อพบปากทางเข้าถ้ำก็เป็นเวลามืดพอดีซึ่งมองอะไรไม่เห็น
จึง
ต้องใช้ไฟฉายช่วยเสริมทัศนะวิสัยของเรา
แต่จากการตรวจสอบ
สภาพแวดล้อมและสภาพอากาศ
ไม่เอื้ออำนวยในการลงไปอัญเชิญพระธาตุ
เพราะอากาศในถ้ำ ณ
ขณะนั้นมีไม่เพียงพอให้เราลงไปในถ้ำได้ทางผม
และคณะจึงต้องถอยออกมาจากถ้า
ก่อนและปรึกษากันว่าพรุ่งนี้เช้า
ค่อยเข้าไปใหม่
เพราะถ้าขืนเข้าไปในเวลานั้นอาจเสียชีวิตเพราะ
ขาดอากาศหายใจได้ ใน
เวลานั้นเองผมไม่รู้เลยว่ากำลังถูกเจ้ากรรมนายเวร
ติดตามทุกฝีก้าวตั้งแต่ที่
ก้าวแรกที่เท้าแตะพื้น ณ ที่ถ้ำแห่งนี้
แถมเป็นการมาอัญเชิญครั้งแรกอีก
แถมตัวผมเองไม่รู้อีก
หลังกลับมาจากปฏิบัติภารกิจ 1
วันผมก็เริ่มมีอาการปวดศีรษะเรื่อย ๆ
มาจนวันหนึ่งผมก็ได้โทรศัพท์จากคุณวิฑัญดา ว่าอาจารย์กฤษณะ
ให้โทรหาด่วน
พร้อมกับแจ้งเรื่องเจ้ากรรมนายเวรของผมพร้อมกับ
แสดงหลักฐานเป็นภาพถ่าย
ในภาพนั้นเป็นภาพผมกับคุณน้ำใสและ
คุณวิฑัญดา
ได้ถ่ายภาพร่วมกันแต่ในภาพนั้นติดเจ้ากรรมนายเวรผม
ด้วยในลักษณะตาโบ
และรูปร่างผมสูง สไตล์นักรบโบราณ
ยืนอยู่หลังผมพร้อมกับใช้มือกดที่ขมับด้านซ้ายผมอยู่
ผมก็ถึงบางอ้อมิน่าล่ะผมถึงได้ปวดศีรษะด้านซ้ายมากตั้งแต่กลับมาจาก
ไปอัญเชิญพระธาตุมา อาจารย์กฤษณะท่านได้ตรวจดูเหตุการณ์ให้และ
พร้อมให้คำแนะนำเรื่องทำบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรจนอโหสิกรรมต่อกันไป.