พระพุทธฉาย
เป็นภาพสีของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า มีลักษณะเป็นเงาสีแดงคล้ายประภามณฑล
หรือรัศมีโดยรอบพระพุทธรูป คล้ายสีดินเทศ มีความสูงประมาณ 5 เมตร
ปรากฏประทับติดอยู่กับชะง่อนหน้าผาสูงบริเวณเชิงเขาปถวี ประดิษฐานอยู่ในมณฑป ณ
เงื้อมเขามาฎะกะ (เขาช่องลม) ค้นพบสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม
ซึ่งค้นพบพร้อมกับรอยพระพุทธบาทที่สระบุรี
ในบริเวณใกล้เคียงมีมณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธบาทเบื้องขวา มณฑปหลังนี้สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าเสือ
และมีต้นพระศรีมหา
โพธิ์ที่อัญเชิญมาจากลังกา เมื่อ พ.ศ. 2492 ทุกปีจะมีงานนมัสการพระพุทธฉายพร้อมกับงานนมัสการรอยพระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรี
สถานที่ตั้ง
สถานที่ตั้ง
พระพุทธฉาย ประดิษฐานติดอยู่ ณ วัดพระพุทธฉาย เงื้อมเขาพระพุทธฉาย อยู่ภายในมณฑปสองยอดบนไหล่ภูเขา
อยู่ในเขตหมู่ที่ 1
ตำบลหนองปลาไหล อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี
ทางเข้าวัดพระพุทธฉาย เป็นถนนแยกจากถนนพหลโยธิน ตรงกิโลเมตรที่ 102 (หมู่บ้านโคกหินแร่ ตำบลหนองยาว) เข้าไป 5 กิโลเมตร
(ระยะทางตามถนนจากตัวเมืองสระบุรี ลงทางใต้ 6 กิโลเมตร
แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไป 5 กิโลเมตร)
ประวัติ
ในสมัยพุทธกาล
เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารบุพพารามในนครสาวัตถี ได้ประทานอุปสมบท
(บวช) พระบิณโฑละฯ ให้เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา แล้วได้มอบให้พระโมคคัลลานะ
พาไปปฏิบัติสมณธรรมจนกว่าจะได้สำเร็จมรรคผล พระโมคคัลลานะได้นำพาไปปฏิบัติสมณธรรมในชมพูทวีป
(อินเดีย) หลายแห่งก็ไม่สามารถบรรลุมรรคผล
จึงได้มาปฏิบัติสมณธรรมในปัจจันตชนบทโดยกำหนดเอาประเทศสุวรรณภูมิ (ประเทศไทย) ณ
ภูเขาฆาฏกะอันเป็นที่อาศัยของนายพรานฆาฏกะกับบริวาร
จึงได้สำเร็จมรรคผลเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา
ในระหว่างที่มาปฏิบัติสมณธรรมอยู่ ณ สถานที่พระโมคคัลลานะ
ได้ทราบพฤติกรรมของนายพรานฆาฏกะกับบริวารว่าเป็นผู้มีสันดาน หยาบช้า โหดร้าย ทารุณ
มีอาชีพทางล่าสัตว์
พระโมคคัลลานะได้แสดงปาฏิหาริย์หลายประการเพื่อจะยังสันดานของนายพรานฆาฏกะให้เลื่อมใสแต่ไม่สำเร็จ
ต่อเมื่อได้กลับไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ
พระพุทธเจ้าจึงเสด็จมาโปรด
และได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์หลายอย่างหลายประการด้วยกันเพื่อให้นายพรานฆาฏกะได้ละทิฏฐิมานะสันดานหยาบช้า
จนในที่สุดได้มีศรัทธาเลื่อมใสถึงกับทูลอุปสมบท พระบรมศาสดาได้ทรงประทาน เอหิภิกขุอุปสัมปทา
(บวชให้ด้วยพระองค์เอง)
แล้วตรัสสั่งสอนให้ปฏิบัติสมณธรรมได้สำเร็จพระอรหันต์เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา
เมื่อพระบรมศาสดาจะเสด็จกลับบุพพาราม ภิกษุฆาฏกะได้ทูลขอติดตามพระองค์ๆ
ได้ทรงห้ามไว้เพื่อให้ช่วยประกาศพระศาสนา พระฆาฏกะได้ทูลขอสิ่งที่เคารพสักการะ
พระองค์จึงได้ทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้เงาของพระองค์ติดไว้ ณ เงื้อมภูเขาแห่งนี้
และได้ประทับ "รอยพระบาท" ติดไว้ ณ บนยอดภูเขาแห่งนี้ด้วย
ซึ่งจะได้เป็นที่สักการะเคารพกราบไหว้บูชาของพระฆาฏกะและบริวาร
ตลอดจนพุทธศาสนิกชนทั่วไป
ประวัติการค้นพบ
สันนิษฐานว่าพระพุทธฉายนี้
ถูกค้นพบในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี หลังจากพบรอยพระพุทธบาท
ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ. 2163-2171)
ซึ่งมีรับสั่งให้ค้นหารอยพระพุทธบาทตามภูเขาทุกแห่ง จึงพบพระพุทธฉาย ณ
ภูเขาแห่งนี้ สมัยที่ค้นพบพระพุทธฉายได้สร้างพระมณฑปครอบพระบรมฉายาลักษณ์ไว้เป็นสถานที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชน
ตลอดจนพระมหากษัตริย์ในรัชกาลต่อมา และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง เป็นต้น
จากพงศวดารตำนานที่ปรากฏชัดว่า
"สมเด็จพระเจ้าเสือพร้อมด้วยเชื้อพระวงศ์และข้าราชการบริพาร
ได้เสด็จพระราชดำเนินมานมัสการพระพุทธฉาย แล้วเสด็จไปนมัสการพระพุทธบาท เป็นต้น
จนถึงกษัตริย์พระองค์สุดท้ายสมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์
พระองค์ได้เสด็จไปนมัสการพระพุทธฉายก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา 3 ปี (พ.ศ. 2307)
ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนมาศ (เจิม) หน้า 484
ได้กล่าวไว้ในบท "สมโภชพระพุทธฉาย" เกี่ยวกับพระพุทธฉายว่า
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ว่า
"ครั้นเดือนอ้ายเสด็จขึ้นไปนมัสการพระพุทธฉาย แรมอยู่ 3 วัน ฯลฯ
แล้วเสด็จกลับมาสมโภชพระพุทธบาท 7 วัน"
จากประวัติและพระราชพงศาวดารดังกล่าวมาแสดงให้เห็นว่า
พระพุทธฉายได้เจริญมาสมัยหนึ่งแล้ว ปรากฏจากหลักฐานและวัตถุโบราณนานัปการ
ที่ยังปรากฏเป็นหลักฐานจนถึงปัจจุบันนี้
เช่นมณฑปที่ประดิษฐานพระพุทธบาทจำลองบนยอดเขาลม วัดพระพุทธฉาย เป็นต้น
แต่เนื่องจากภัยทางสงคราม บ้านเมืองไม่สงบสุข มีการรบทัพจับศึก
เกิดการระส่ำระสายเปลี่ยนแปลงแผ่นดินบ้านเมืองเดือดร้อน
ดังปรากฏในประวัติศาสตร์ครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาจนกว่าจะตั้งกรุงธนบุรี และกรุงเทพฯ
ขึ้นเป็นเมืองหลวง พระพุทธฉายก็ได้ถูกทอดทิ้งมาเป็นเวลาช้านานจนชำรุดทรุดโทรมลง
มณฑปเดิมซึ่งสร้างไว้ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และศาสนสถานถาวรวัตถุต่างๆ
ได้ขาดการดูแลเอาใจใส่และภัยธรรมชาติได้ทำลายเสียหายเป็นอย่างมาก
กาลเวลาได้ผ่านมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้มีการบูรณะฟื้นฟูพระพุทธฉายอีกครั้งหนึ่ง ตามศิลาจารึกที่ค้นพบเป็นหลักฐานว่า
"พระพุทธศาสนาล่วงมาได้ 2374 ปีมะโรง นักษัตรจัตวาศก มีพระคุณเจ้าสมภาร 4 วัด
คือพระปลัดวัดปากเพรียว 1 สมภารวัดบางระกำ 1 สมภารดวง วัดเกาะเลิ่ง 1
และสมภารวัดบางเดื่อ 1 สมภารทั้ง 4
พร้อมทั้งญาติโยมได้มีอุสาหะพากันมาบูรณปฏิสังขรณ์พระพุทธฉาย เป็นเวลาถึง 7 ปี
และในปีที่ 8 พระมหายิ้ม ได้มาร่วมกับสมภารทั้ง 4 พร้อมด้วยญาติโยม
ได้บูรณปฏิสังขรณ์พระพุทธปฏิมากร ระเบียงมณฑป ลงลักปิดทอง
บ้างจำลองลายสุวรรณอันบวร ปฏิสังขรณ์พระสถูปเจดีย์ สร้างหอระฆัง สร้างศาลา เป็นต้น
ด้านยอดเขา ได้บูรณะพระมณฑปและลานพระโมคคัลลานะขุดสระบ่อน้ำ บูรณะพระอุโบสถ
และตบแต่งสถานที่เป็นเวลาอีก 3 ปี จนถึงปีฉลูจึงเสด็จตามความประสงค์
ได้จัดมหกรรมฉลององค์พระพุทธฉาย เมื่อปีเถาะ เบญจศก"
จากศิลาจารึกที่นำมาโดยสังเขปนี้
จะเห็นได้ว่าพระพุทธฉายได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาในระยะหนึ่ง
กาลเวลาล่วงเลยมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช
และสมเด็จพระพันวษาอัยยิกาเจ้า
ได้เสด็จมาฟื้นฟูบูรณะพระพุทธฉายทรงสร้างมณฑปขึ้นใหม่เป็นมณฑปสองยอดแทนมณฑปเดิม
และทรงบูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุอื่นๆ มีเสนาสนะสงฆ์ เช่น ศาลา
พระอุโบสถบนยอดเขาพระพุทธฉาย ปฏิสังขรณ์มณฑปครอบรอยพระบาทจำลองยอดเดี่ยว
บนยอดภูเขาด้านตะวันออกพระอุโบสถบริเวณลานพระโมคคัลลานะ วัดพระพุทธฉาย
ซึ่งยังเหลือเป็นอนุสรณ์อยู่ตราบเท่าทุกวันนี้
นอกจากนั้นพระองค์พร้อมด้วยพระราชวงศ์และข้าราชบริพาร
ยังได้เสด็จไปนมัสการพระพุทธฉายอีกหลายครั้ง
ดังปรากฏในประวัติศาสตร์การประพาสต้นและจดหมายเหตุ
การบำเพ็ญพระราชกุศลนับเนื่องเกี่ยวกับพระพุทธฉาย เกี่ยวกับพระอุปัชฌาย์รัน
และพระอธิการรูปอื่นๆ อีกมาก ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยย่อ จปร. ติดอยู่ ณ
เงื้อมผาด้านทิศตะวันตกของพระมณฑปพระพุทธฉาย พร้อมด้วยนามาภิไธยพระบรมวงศานุวงศ์
ซึ่งปรากฏชัดจนถึงปัจจุบันนี้ ในรัชกาลต่อๆ มาก็ได้มีพระบรมวงศานุวงศ์
ได้เสด็จมาพระพุทธฉายเป็นประจำ จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน
พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และพระเจ้าลูกเธอฯ
ได้เสด็จมาทรงทอดผ้าพระกฐิน เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2516
พระพุทธฉายได้บูรณะซ่อมสร้างมาเป็นเวลาช้านาน
ชำรุดทรุดโทรมลงเป็นอย่างมาก
จนทางข้าราชการร่วมกับคณะสงฆ์เห็นว่าจะปล่อยทิ้งรกร้างไว้อีกต่อไปไม่ได้
ปูชนียสถานที่สำคัญจะถูกทำลายลง จึงได้ส่ง พระครูพุทธฉายภิบาล (นาค ปานรัตน์)
มาเป็นเจ้าอาวาสเมื่อ พ.ศ. 2491
เพื่อบูรณะซ่อมสร้างสถานที่พระพุทธฉายให้เจริญต่อไป เจ้าอาวาสได้ซ่อมแซมใหญ่
โดยซ่อมที่มณฑปที่ชำรุดซึ่งสร้างไว้ในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงเทพฯ
บนยอดภูเขาตามเดิม ส่วนมณฑปเก่าครอบพระบาทจำลองบนยอดเขายังคงไว้เป็นอนุสรณ์
ในลำดับต่อมาได้สร้างบันไดจากพื้นล่างด้านตะวันออกพระพุทธฉายขึ้นไปจนถึงยอดภูเขายาวประมาณ
๒๗๐ ขั้น เพื่อให้ความสะดวกแก่ประชาชน จะได้ขึ้นไปนมัสการพระพุทธรูปปางต่างๆ
ข้างบนและภายในอุโบสถ โดยบูชารอยพระพุทธบาทจำลองและชมวิวทิวทัศน์อันสวยสดงดงาม
พร้อมด้วยบูชาสักการะพระรูปพระโมคคัลลานะ ที่ได้สร้างขึ้นมาเมื่อ พ.ศ. 2526
ประดิษฐานอยู่ ณ ลานพระโมคคัลลานะ ในวิหารพระปฏิมากรเป็นประหนึ่งสังเวชนียสถานอันจะเกิดเป็นกุศลผลบุญต่อไป