ลักษณะการทำบุญปิดท้ายจะมีลาภมากแบบพระสีวลี ลูกศิษย์หลวงพ่อรุ่นเก่าๆ
จะรู้ดี ทำบุญปิดท้ายไปเรื่อย ปิดไม่รู้จักจบ คนโน้นปิดคนนี้ก็ปิดต่อไปเรื่อย เพราะว่าพระสีวลีท่านทำบุญปิดท้ายรายการบุญใหญ่ของเขา
ท่านจึงมีลาภมาก
เนื่องจากว่าสมัยนั้นท่านเกิดเป็นคนจน มีอาชีพตัดฟืนอยู่ในป่า ตอนนั้นระหว่างชาวบ้านกับพระราชาเขาแข่งกันอยู่ แข่งกันทำความดีถือว่าน่าสรรเสริญ ชาวบ้านกับพระราชาเขาแข่งกันทำบุญ ลักษณะว่าใครทำบุญถวายพระพุทธเจ้าได้ดีกว่ากัน พอถึงเวลาพระราชาท่านก็จัดโน่นจัดนี่มาให้ดีกว่าชาวบ้าน ทีนี้กำลังของพระราชาเองถ้าไม่เกณฑ์ชาวบ้านนี่จะเอาดีก็คงจะไม่เท่าไร ชาวบ้านพอสู้ได้เพราะคนเยอะกว่าก็ช่วยกันสรรหามา
จนกระทั่งถึงครั้งสุดท้ายชาวบ้านเขากะจะเกทับให้พระราชาไม่มีโอกาสกระดิก ทำบุญครั้งนี้จะหาของทุกอย่างที่พึงจะถวายพระมาให้ครบ
ปรากฏว่าพอหามาแล้วขาดน้ำผึ้งสดจากรวงอย่างเดียว
น้ำผึ้งเก่ามีแล้ว อยากจะได้ที่คั้นสดๆ ถวายพระเลย บรรดาที่เป็นหัวหน้าท่านก็ประกาศให้ลูกน้องนำเงินคนละ
๑ พันกหาปณะไปยืนรอที่ประตูเมืองทั้ง ๔ ทิศ ใครมีรวงผึ้งสดมาให้ขอซื้อจากเขา ให้ราคาไปเรื่อยให้จนกระทั่งหมดพันกหาปณะนั่นแหละ
เชื่อว่าคนเขาขายให้อยู่แล้ว เพราะปกติราคาไม่ถึงนั้น ราคาไม่ถึงกหาปณะด้วยซ้ำไป
หนึ่งกหาปณะในปัจจุบันถ้าเทียบอัตรากับ ๔ บาท หรือ ๑ ตำลึง แต่อย่าลืมว่า ๔ บาทโบราณนี่ค่ามหาศาลนะเนื่องจากว่าสมัยนั้นท่านเกิดเป็นคนจน มีอาชีพตัดฟืนอยู่ในป่า ตอนนั้นระหว่างชาวบ้านกับพระราชาเขาแข่งกันอยู่ แข่งกันทำความดีถือว่าน่าสรรเสริญ ชาวบ้านกับพระราชาเขาแข่งกันทำบุญ ลักษณะว่าใครทำบุญถวายพระพุทธเจ้าได้ดีกว่ากัน พอถึงเวลาพระราชาท่านก็จัดโน่นจัดนี่มาให้ดีกว่าชาวบ้าน ทีนี้กำลังของพระราชาเองถ้าไม่เกณฑ์ชาวบ้านนี่จะเอาดีก็คงจะไม่เท่าไร ชาวบ้านพอสู้ได้เพราะคนเยอะกว่าก็ช่วยกันสรรหามา
จนกระทั่งถึงครั้งสุดท้ายชาวบ้านเขากะจะเกทับให้พระราชาไม่มีโอกาสกระดิก ทำบุญครั้งนี้จะหาของทุกอย่างที่พึงจะถวายพระมาให้ครบ
คราวนี้พระสีวลีท่านเป็นชายตัดฟืน บังเอิญวันนั้นไปเจอรังผึ้งเข้า ก็เลยตัดรังผึ้งแบกมาด้วย พอมาถึงประตูเมือง บรรดาเจ้าของทานทั้งหลายที่มารออยู่ พอเห็นเข้าก็ขอซื้อ บอกว่านี่พ่อคุณเราขอซื้อผึ้งรวงของท่านในราคา ๑ กหาปณะจะขายไหม ? พระสีวลีท่านได้ยินท่านก็สะดุดใจ ท่านเป็นคนฉลาด ถึงจะจนแต่ก็ฉลาด ของราคาไม่ถึงทำไมให้แพงจัง ลองแกล้งขยักเอาไว้หน่อยซิ ไม่ขาย พอไม่ขายอย่างนั้น ๒ กหาปณะ ๔, ๘ กหาปณะให้ไล่ขึ้นไปเรื่อย ท่านก็ไม่ขายจนกระทั่งถึง ๑,๐๐๐ กหาปณะท่านก็ไม่ขาย บรรดาคนที่ไปรอก็หมดปัญญา นายเขาให้มาแค่พันเดียว ก็บอกว่าแล้วท่านคิดราคาเท่าไรถึงจะขาย
พระสีวลีก็ถามว่าท่านต้องการรวงผึ้งเห็นปานนี้ไปเพื่อกิจอะไร ถ้าท่านบอกเราแล้ว เราถึงจะกำหนดราคาได้ เขาก็บอกว่าพวกเราจะทำบุญถวายพระพุทธเจ้ากัน ต้องการที่จะถวายของทุกอย่างที่สมควรแก่สมณบริโภคให้มีให้ครบถ้วน ขาดน้ำผึ้งสดอย่างเดียวถึงได้มาดักรอซื้อ แพงแค่ไหนก็จะซื้อ เพื่อให้ได้ทำบุญ พระสีวลีบอกว่า ถ้าอย่างนั้นไม่ขาย แต่ให้ไปแจ้งกับนายของเธอว่า ถ้าอนุญาตให้เราทำบุญด้วยน้ำผึ้งรวงนี้ เราก็จะให้ฟรีๆ เขาก็วิ่งอ้าวไปบอกเจ้านาย เจ้านายก็โมทนาและก็อนุญาตให้ร่วมด้วย กลายเป็นว่าของทุกอย่างมี ขาดน้ำผึ้งสดอย่างเดียว แล้วพระสีวลีได้ทำบุญปิดท้าย
คราวนี้ด้วยอานุภาพของพระพุทธเจ้าและอานุภาพของทานครั้งนั้น น้ำผึ้งรวงเดียวคั้นแล้วพอพระทุกองค์ ทั้งๆ ที่พระมาตั้งมากมายมหาศาล เพราะมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พอแก่พระทุกองค์ เขาบอกว่าในสมัยนั้นหลังจากที่ทุกคนทำกาละ คือตายไปแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดา
คราวนี้พระสีวลีท่านไม่ได้เกาะกลุ่มกันเหนียวแน่นแบบนั้น ท่านก็เลยลงมาเกิดเป็นพระสีวลี ในชาติที่ท่านมาเกิดก็ใช้หนี้กรรมเก่าหน่อยหนึ่ง เพราะว่าในอดีตชาตินานมาแล้ว ท่านเคยเป็นพระมหากษัตริย์ ไปล้อมบ้านล้อมเมืองเขาอยู่ ๗ ปี ๗ วัน แต่ว่าด้วยอานุภาพบุญ ทำให้ไม่รู้สึกลำบากเลย คลอดออกมาก็ ๗ ขวบกว่าๆ ประเคนของพระได้เลย แล้วก็ขอบวช แค่พระปลงผมให้เสร็จก็เป็นพระอรหันต์
เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านเป็นผู้ที่เลิศกว่าภิกษุอื่นในด้านลาภมาก เหตุที่เลิศกว่าภิกษุอื่นในด้านลาภมาก พระพุทธเจ้าบอกว่า เพราะทำบุญปิดท้ายรายการ เสริมทุกอย่างของคนอื่นเขาให้บริบูรณ์ ตัวเองก็เลยบริบูรณ์ไปด้วย ถ้าไม่มีของท่านแล้วจะขาด ถ้ามีของท่านแล้วถึงจะสมบูรณ์บริบูรณ์ ท่านก็เลยรับเอาอานิสงส์นั้นไปเต็มๆ
ถึงขนาดที่พระพุทธเจ้าจะไปเยี่ยม พระเรวัตตะ ที่เป็นน้องชายคนเล็กของพระสารีบุตร ท่านไปจำพรรษาอยู่ที่ป่าตะเคียน ถามทางกับพระอานนท์ว่า หนทางที่จะไปถึงพระเรวัตตะนั้นไกลไหม ? พระอานนท์ตอบว่า ถ้าเป็นทางตรง ปราศจากโคจรคามเพื่อบิณฑบาต มีแต่เหล่าอมนุษย์ เป็นระยะทางแค่ ๖๐ โยชน์ แต่ถ้าเป็นทางอ้อม สะดวกสบายด้วยหนทางและการโคจรบิณฑบาต เป็นระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ มากกว่าเท่าหนึ่ง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อานันทะ ดูก่อน..อานนท์ สีวลีได้ไปด้วยหรือไม่ ?" พระอานนท์กราบทูลว่า "ไปด้วยพระเจ้าข้า.." เพราะเขามีการจัดพระเพื่อตามพระพุทธเจ้าไปด้วย พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อานันทะ ดูก่อน..อานนท์ ถ้าสีวลีไปด้วยเราไปทางตรงกัน.." ที่บิณฑบาตไม่มีอะไร มีแต่อมนุษย์ก็ไปกัน
พอท่านไปปรากฏว่า บรรดาเทวดาทั้งหลายที่เคยร่วมบุญในครั้งนั้น พอเห็นเข้าก็ "พระผู้เป็นเจ้าของเราจะเดินทางไปในป่าแล้ว.." ก็รีบไปตกแต่งสถานที่ โยชน์หนึ่งตั้งศาลาไว้หลังหนึ่ง ให้เพียงพอกับพระทั้งหมด โยชน์หนึ่งเตรียมสถานที่เอาไว้ ก็เลยกลายเป็นว่าระยะทาง ๖๐ โยชน์ ปกติพระพุทธเจ้าเดินทางครึ่งวัน งวดนั้นเดินซะ ๒ เดือน
แล้วเรื่องของอานุภาพบุญก็เป็นเรื่องอัศจรรย์มากปกติใครๆ ก็จะต้องแย่งกันทำบุญถวายต่อพระพุทธเจ้า แต่ปรากฏว่าบรรดาเทวดาที่เป็นเพื่อน ร่วมบุญในครั้งนั้น ตั้งหน้าตั้งตาเอามาถวายพระสีวลีองค์เดียว แต่ว่าของนั้นก็มากพอที่พระสีวลีถวายต่อพระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมด แล้วยังเหลือเฟืออยู่ จะเป็นอย่างนี้ไปตลอด ๒ เดือน ระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ ปรากฏว่างวดนั้นเดินซะ ๒ เดือนรอเทวดาเขาทำบุญ
คราวนี้พระสีวลีนิพพานไปแล้ว หลวงพ่อท่านบอกว่าผลบุญใดก็ตาม ที่เป็นของพระอรหันต์ท่าน โดยเฉพาะพระอรหันต์ที่เป็นเอตะทัคคะคือ มีความเป็นเลิศพิเศษในทางใดทางหนึ่ง ถ้าเราบูชาท่าน ผลบุญที่ท่านไม่ต้องใช้แล้ว เพราะท่านเข้านิพพานแล้ว ผลบุญนั้นจะมีสำเร็จแก่เราด้วย
ดังนั้น..เขาถึงได้บอกกันว่า คนที่บูชาพระสีวลีส่วนใหญ่จะมีลาภมาก คือท่านไม่จำเป็นต้องใช้ลาภอันนั้นแล้ว เข้านิพพานไปแล้ว กุศลที่ท่านทำก็เลยตกถึงผู้ที่บูชาท่านด้วย