การทำทานทำให้คนรวยได้จริง
การทำทานไม่ใช่เรื่องของแค่คนรวยๆ อย่างท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเท่านั้น หลายๆ คนอาจมองว่าเพราะเขามีมากเขาจึงทำได้
คนจนๆ จะเอาอะไรไปทำทานเพียงแค่หากินให้พอเลี้ยงปากท้องก็แย่พอแล้ว
ความจริงแล้วคนที่ยากจนนั้นยิ่งต้องทำทานให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้หายจนเพราะยิ่งตระหนี่มากเท่าไหร่ ความตระหนี่ก็จะผลักเอาความร่ำรวยออกไปทำให้ยิ่งจนลงมากกว่าเดิม ส่วนคนที่เกิดมายากจนแต่รู้จักทำทานให้ถูกคน ถูกกาล มีจิตยินดีเสมอในการทำทานเขาก็จะสามารถร่ำรวยมีความสุขขึ้นมาได้
ในยุคสมัยของพระพุทธเจ้ากัสสปะ
มีชายคนหนึ่งที่ชื่อ “มหาทุคตะ” แปลว่า
“ชายที่แสนยากจน” มีอาชีพเป็นขอทานความยากจนของแกนั้นเรียกได้ว่าจนระดับที่สุดของเมืองเลยก็ว่าได้ความจริงแล้วคนที่ยากจนนั้นยิ่งต้องทำทานให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้หายจนเพราะยิ่งตระหนี่มากเท่าไหร่ ความตระหนี่ก็จะผลักเอาความร่ำรวยออกไปทำให้ยิ่งจนลงมากกว่าเดิม ส่วนคนที่เกิดมายากจนแต่รู้จักทำทานให้ถูกคน ถูกกาล มีจิตยินดีเสมอในการทำทานเขาก็จะสามารถร่ำรวยมีความสุขขึ้นมาได้
วันหนึ่งนายมหาทุคตะก็ได้รับการชักชวนจากบัณฑิตผู้หนึ่งให้ทำบุญกับพระภิกษุสาวกของพระพุทธเจ้าบ้างจะได้เป็นบุญวาสนาติดตัวไปไม่ทำให้ยากจนอีกในภายภาคหน้า มหาทุคตะได้ยินการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าแล้วก็เกิดความรู้สึกยินดีมาก คิดจะทำทานกับพระสาวกของพระพุทธองค์สักรูปหนึ่งก็เลยไปทำการจองพระไว้รูปหนึ่งกับบัณฑิตที่มาชักชวน
บัณฑิตก็เห็นว่าจองแค่รูปเดียวจึงไม่ได้จดบันทึกเอาไว้ แล้วก็ไปชักชวนบุคคลอื่นๆ ในหมู่บ้านให้มาร่วมทำบุญกันต่อไป
ฝ่ายนายทุคตะกับภรรยาเมื่อจองพระได้แล้วก็ไปรับจ้างเขาทำงานด้วยจิตเบิกบานอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าวันนั้นทั้งวันแทบจะร้องรำทำเพลงทำงานเลยทีเดียว โดยหวังว่าพรุ่งนี้จะได้ถวายข้าวปลาอาหารกับพระดีๆ สักรูปหนึ่ง เมื่อทำงานได้เงินมาก็เอาเงินไปเตรียมซื้อของทำกับข้าวไว้เสร็จสรรพ
วันรุ่งขึ้นพอไปหาบัณฑิตเพื่อจะรับพระที่จองไว้ แต่เพราะบัณฑิตหนุ่มไม่ได้จดบันทึกเอาไว้ก็เลยไม่มีพระให้คนอื่นนิมนต์กันไปหมดแล้ว ทำให้นายทุคตะเสียใจมาก บัณฑิตหนุ่มก็เลยแนะนำว่าเหลือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่อีกรูปหนึ่งท่านไปนิมนต์เถอะ
พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้มีพระเมตตาและหยั่งรู้แล้วว่าวันนี้จะสงเคราะห์ใคร แม้วันนั้นจะมีมหาเศรษฐีพ่อค้าวานิชที่ร่ำรวยหรือบุคคลระดับกษัตริย์จะมารอนิมนต์อยู่ข้างนอกพระคันธกุฎี พระพุทธองค์ก็ยังไม่ออกมาจากที่พำนัก รอจนกว่านายมหาทุคตะมานิมนต์จึงทรงเสด็จออกมา แล้วประทานบาตรให้ทำให้คนอื่นผิดหวังกันไปตามระเบียบ
นายทุคตะกับภรรยาได้ถวายอาหารรสเลิศชั้นดีกับพระพุทธเจ้าด้วยความช่วยเหลือของพระอินทร์ที่แปลงกายมาช่วยทำอาหารให้ อาหารที่ได้ถวายจึงเป็นของดีระดับอาหารทิพย์ เมื่อพระพุทธเจ้าฉันเสร็จก็ตรัสอนุโมทนาและแสดงธรรมเรื่องอานิสงส์การถวายทานด้วยจิตที่ยินดีทั้งก่อนให้ ขณะให้ และหลังทำทาน ให้ถูกคนถูกกาลแล้วจะมีอานิสงส์มากมายมหาศาล เสร็จแล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จกลับ
นายมหาทุคตะเดินไปส่งพระพุทธเจ้าที่พระคันธกุฎี เมื่อกลับมาถึงบ้านของตนเองก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นที่บ้านคือแก้วรัตนมณีนั้นไหลท่วมบ้านของนายทุคตะชนิดที่ลูกเมียไม่มีที่อยู่กันเลยทีเดียว หากจะเปรียบเทียบในสมัยนี้ก็คือ จู่ๆ เขาก็ถูกหวยระดับร้อยล้านพันล้านบาทในงวดเดียวนั่นเอง
เรื่องนี้เป็นที่ฮือฮามากทุกคนต่างเข้าใจว่าเป็นผลแห่งการถวายทานแด่พระพุทธเจ้า พระราชาในเมืองนั้นทราบเรื่องก็เสด็จมาทอดพระเนตรด้วยตัวเองสั่งให้คนขนแก้วรัตนมณีไปที่ลานประจำเมืองแล้วถามว่าในเมืองนี้มีใครมีทรัพย์สมบัติมากมายเท่านี้บ้าง เมื่อไม่มีใครรับพระองค์จึงได้แต่งตั้งให้นายมหาทุคตะ หรือนายมหายากจนคนนั้นให้เป็นเศรษฐีประจำเมือง
มหาเศรษฐีชื่อยาจกคนนี้ก็ทราบดีว่า การที่ตนเองร่ำรวยมหาศาลได้ขนาดนี้เพราะบุญบารมีที่ได้ทำต่อพระพุทธเจ้าจึงไม่ได้ประมาทในการทำบุญ ตลอดชีวิตก็ยังคงทำบุญให้ทานช่วยเหลือคนยากคนจนเสมอมาจนสิ้นชีวิต และในชาติสุดท้ายก็ได้เกิดมาเป็นบุรุษที่มีชาติตระกูลร่ำรวยในตระกูลอุปัฏฐากพระสารีบุตร ที่ชื่อว่า “บัณฑิต” และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่เป็นสามเณรด้วย