ข้าวตอกพระร่วงมีลักษณะเป็นหินก้อนเล็ก
ๆ รูปทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์คล้ายกับลูกเต๋า มีสีสนิมเหล็กหรือสีน้ำตาลไหม้คล้ำ ๆ
มีหลายขนาด แต่จะมีหน้าราบขนาด ๒.๓ ซม. ก้อนเล็ก ๆ จะมีขนาดประมาณครึ่งเซนติเมตร
สำหรับก้อนที่ใหญ่ ๆ นั้น หากเราลองทุบ ให้แตกออก ลักษณะที่แตก ออกจากกันนั้นก็จะคงรูปสี่เหลี่ยมลูกบาศก์เล็ก
ๆ อีกเหมือนกัน จะมีเพียงบางก้อนที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมยาว หินเหล่านี้
จะมีปะปนอยู่ทั่วไปพบมากบริเวณเขา พระบาทใหญ่ ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.สุโขทัย
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านธรณีวิทยา
ได้ตรวจสอบแล้วสรุปว่า แร่ที่ชาวบ้าน เรียกว่าข้าวตอก พระร่วงนี้ คือ
แร่โลหะชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า "แร่ไพไรต์" นั่นเอง อีกชนิดหนึ่งมีลักษณะ
คล้ายเม็ดข้าวสารฝังจม ปนอยู่ในหินแร่เหล่านี้ด้วย ชาวบ้าน เรียกว่า
ข้าวสารพระร่วง ทั้งสอง ชนิดนี้เป็นที่นิยมกันว่าศักดิ์สิทธิ์
ผู้ใดมีไว้ถือว่าเป็นสิริมงคล มีความสุขความเจริญด้วย โภคทรัพย์ต่าง ๆ
นอกจากนั้นยังนิยม นำมาฝนกับ แผ่นกระเบื้องบดยาหยดน้ำลงไปด้วย
ขณะที่ฝนแล้วนำน้ำนั้นมาทาบริเวณที่ถูกพิษแมลงสัตว์กัดต่อย เป็นต้นว่า ตะขาบ มด
แมลงป่อง ก็จะหายจากอาการเจ็บปวดอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง
ชาวบ้านนิยมนำมาดับพิษแมลงเวลาถูกต่อย จะใช้กันอย่าง
แพร่หลายด้วยความศรัทราส่วนคนเฒ่าคนแก่ที่กินหมากนั้น จะนิยมนำข้าวตอก
พระร่วงมาใส่ปนกับสีผึ้งทาปากตลับละหนึ่งถึงสองเม็ด
เหตุที่ทำเช่นนี้เพราะเชื่อว่ามีเมตตา มหานิยมดี
โดยเฉพาะเม็ดที่ติดกันชาวบ้านเรียกว่า "อมกัน" นิยมกันมากว่ามีเมตตามหานิยมมากยิ่งขึ้น
ต่อมาข้าวตอกพระร่วงและข้าวสารพระร่วง
มีผู้นำมาเจียระไนเป็น เครื่องประดับ และ เข้าพิธีพุทธาภิเษก เมื่อ ๑๒ เมษายน ๒๕๒๗
ทำให้ประชาชน ให้ความสนใจใคร่มีไว้เป็นสิริมงคลกันมาก ปัจจุบันจึงค่อนข้างหายาก
สาเหตุที่เป็นที่นิยมของชาวบ้านว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ทั้งนี้เพราะมีความเชื่อ
เกี่ยวกับเรื่อง พระร่วงวาจาสิทธิ์ เมื่อครั้งพระองค์เสด็จมาประพาสป่า หยุดเสวย
พระกระยาหารกลางวันแล้ว จึงนำข้าวโปรยไว้บนเขาพระบาทใหญ่แล้วกล่าวว่า
จงเป็นข้าวตอกดอกไม้ ดังนั้นจึงกลายเป็น ข้าวตอกพระร่วง ข้าวสารพระร่วง
ตามวาจาสิทธิ์นั้น
ประวัติความเป็นมา
แร่พระร่วง
ข้าวตอกพระร่วงหรือข้าวพระร่วง
ตามตำนานของคนโบราณเล่ากันว่าข้าวตอกพระร่วงเป็นแร่ศักดิ์สิทธิ์ ที่เกิดขึ้นในสมัย
พระร่วงแห่งกรุงสุโขทัย พระร่วงท่านเป็นกษัตริย์ที่มีวาจาศักดิ์สิทธิ์
กล่าวคือเปล่งวาจาอะไรออกไปก็จะเป็นไปตามนั้น ในขณะที่ท่านได้ออกผนวชเป็นพระภิกษุสงฆ์
และได้ออกบิณฑบาตรในวันออกพรรษาตักบาตรเทโว
เมื่อท่านฉันอาหารเสร็จแล้วข้าวที่เหลือก้นบาตรพร้อมข้าวตอกดอกไม้ท่านได้นำไปโปรยลงบนลานวัดเขาพระบาทใหญ่
แล้วทรงอธิษฐานว่า ขอให้ข้าวตอกดอกไม้นี้กลายเป็นหินชนิดหนึ่งและมีอายุยั่งยืนนานชั่วลูกชั่วหลาน
เมื่อใครที่ได้นำไปบูชา ขอให้เจริญด้วยโภคทรัพย์นานาประการ เป็นสิริมงคลแก่ตนเอง
และแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง...แหล่งกำเนิด : บริเวณเขาพระบาทใหญ่
จังหวัดสุโขทัย
ลักษณะของแร่ข้าวตอกพระร่วง
: มีลักษณะความแข็งคล้ายหิน มีรูปทรงตามธรรมชาติเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้า
มีสีดำ สีดำปนน้ำตาล สีดำปนลายเงินลายทอง (เชื่อถือกันว่าเป็นสื่อนำโชคลาภ
และเงินทอง) เมื่อนำไปเจียรนัยจะมีลักษณะเป็นเงามันสวยงามมากความเชื่อ : หลวงพ่อฤาษีฯ
ท่านได้แจกแร่พระร่วงนี้เมื่อปี ๒๕๑๘ และได้มีประกาศไว้ดังนี้ แร่นี้มีคุณสมบัติเท่าที่ทราบจากพระธุดงค์ที่เคยประสบมาคือ
1.เมื่อจะใช้ท่านให้อาราธณาพระร่วงแล้วอมไว้
เดินทางตลอดวันไม่กระหายน้ำ
2.พระธุดงค์อีกคณะหนึ่งแจ้งว่า
เมื่อเดินธุดงค์เพื่อนเกิดท้องร่วง
ไม่มียาจึงเสี่ยงเอาแร่พระร่วงใส่กาต้มน้ำแล้วเอาน้ำให้ฉัน พระองค์ที่ป่วยหายจากอาการท้องร่วงทันที
3.เมื่อปี
2516 พระปลัดฉ่อง แห่งอำเภอสรรค์บุรี จังหวัดชัยนาท
ได้ทำเป็นแหวนแจก ผู้รับไปจำชื่อไม่ได้ มีโจรเข้าปล้นควายโจรมีปืน
เจ้าของคนเดียวมีมีดด้วยความเสียดายควายแม้จะเป็นคนเดียวและอาวุธไม่ดีก็ยอมเสี่ยงเข้าไล่โจร
โจรยิงด้วยปืนพกและลูกซอง ปรากฏว่าไม่มีแผล
เจ้าตัวยืนยันว่าไม่มีอะไรอื่นเลยมีเพียงแร่พระร่วงเท่านั้น...
และจากประสบการณ์ของผู้ที่ได้นำแร่นี้ไปบูชา
บนหิ้งหรือพกติดตัวจะอยู่ดีกินดีมีความสุขความเจริญรุ่งเรือง ด้วยเงินทองและโชคดี มีโชคลาภ เมตตามหานิยม
แคล้วคลาด ปลอดภัยและยังสามารถนำไปฝนกับน้ำมะนาวใช้แก้พิษสัตว์กัดต่อยได้อย่างดีอีกด้วย